วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551

โคลงกลบท ผลงานครูมนตรี ตราโมท

...............................................
กลบทนั้นเป็นเครื่องแสดงสติปัญญาของกวี
ในการที่จะคิดค้น พลิกแพลงกวีนิพนธ์ แบบฉบับ
ให้มีลักษณะเด่น เป็นพิเศษขึ้น
โดยการเพิ่มลักษณะบังคับต่างๆ
และเป็นเครื่องลับสมอง ลองปัญญา
ในหมู่กวีด้วยกัน และคนทั่วไป
ในการที่จะพยายามถอดรูป ที่ซ่อนไว้ให้สำเร็จ
ผลพลอยได้ก็คือ ความไพเราะ ของกวีนิพนธ์
................................................................
กลบท เป็นการประดิษฐ์ การคิดคำประพันธ์
ให้มีลักษณะ ต่างไปจากเดิม
โดยลักษณะบังคับเดิมของคำประพันธ์นั้น ยังคงใช้อยู่ครบถ้วน
แต่แต่งเพิ่มเติมขึ้นให้ต้องตามลักษณะของกล
คำประพันธ์ที่แต่งเป็น กลได้ มีทั้ง โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
ซึ่งสามารถแต่งได้เป็น ๒ แบบ
คือ แบบกลอักษร และแบบกลแบบ
..........................................................
กลบทแบบซ่อนรูป หรือเรียกอีกอย่างว่ากลแบบ
เป็นการนำเอาคำประพันธ์ชนิดใดชนิดหนึ่ง
มาวางรูปเสียใหม่ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อ่านถอด
ผู้อ่านจะต้องทราบฉันทลักษณ์ ชนิดนั้นๆ
จึงจะสามารถถอดคำอ่านได้
การซ่อนรูปคำประพันธ์มี ๒ ลักษณะคือ
การเรียงคำเป็นรูปต่างๆ และการเปลี่ยนรูปคำประพันธ์ให้ผิดไปจากเดิม
.........................
.....................
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.geocities.com/bot kawee/kolbot.htm
....................
..........................

โคลงกลบทช้างประสานงา


"คนึงรัก"






โคลงกลบทช้างประสานงา สามารถถอดเรียงเป็น โคลง ๔ สุภาพได้ ดังว่า...


.....ยลนุชวิสุทธิ์ล้ำ................เลิศภักตร์
ยลนุชบริสุทธิ์ลักษณ์................เลิศล้วน
ยลนาฏบริบูรณ์ศักดิ์.................ศริเกียรติ
ยลนาฏไพบูรณ์ถ้วน................ศริแท้ ทียล


บทที่เหลือ ขอเชิญชวนท่านผู้อ่านให้ทดลองถอดเรียงดูนะคะ...

...............

...................

โคลงกลบทพรหมพักตร์

"กวีพิสดาร"






โคลงกลบทพรหมพักตร์ สามารถถอดเรียงเป็น โคลง ๔ สุภาพได้ ดังว่า...

.....เรียมกสัณฐ์ปั่นจิตต์เศร้า.........จิตต์กสัณฐ์
เรียมใฝ่รักใฝ่ฝัน......................ใฝ่เจ้า
เรียมโศกสลักทรวงศัลย์..............สลักโศก
เรียมเสน่ห์ฤทธิ์เสน่ห์เร้า........เสน่ห์ล้นสลักเรียม

เชิญท่านผู้อ่าน ทดลองถอดเรียงในบทที่เหลือนะคะ ...

................

................

โคลงกลบทฉบัง
“แสงตะวัน”


.....ยามอรุณสูรย์โรจน์รุ้งเรือง........แสงเบิกส่องเบื้อง
บูรพ์แรงจรัสจ้าคราฉาย
.....เฉิดดวงแดงเด่นเพริศพราย........
แลจับจิตหมาย
พิศฟ้าฟากเรื้องแรงสุรีย์
ยามเที่ยงแดดเปรี้ยงส่องสี..............
ฉานฉายรัสมี
มาดาลระอุด้าวชาวชน
.....บ่นรำคาญคิดขุ่นกมล..............
แลใคร่หลบพ้น
แสงอ้าวอบร้อนแรงตะวัน
.....ยามเย็นเห็นแดดแผ้วพรรณ.......
รายแสงอ่อนบรร
เจิดพรายเพริศแพร้วพราวตา
.....ยิ่งพาหมายมุ่งทัศนา..............
แลห่อนอยากคลา
เคลื่อนแคล้วคลาดเบื้องมเลืองสูรย์

จาก กาพย์ฉบัง สามารถจัดเรียงแบ่งวรรคใหม่ เป็น โคลง ๔ สุภาพ ได้ดังว่า

.....ยามอรุณสูรย์โรจน์รุ้ง................เรืองแสง
เบิกส่องเบื้องบูรพ์แรง.....................จรัสจ้า
คราฉายเฉิดดวงแดง....................เด่นเพริศ พรายแล
จับจิตหมายพิศฟ้า......................ฟากเรื้องแรงสุรีย์
.....ยามเที่ยงแดดเปรี้ยงส่อง............. สีฉาน
ฉายรัสมีมาดาล..........................ระอุด้าว
ชาวชนบ่นรำคาญ........................คิดขุ่น กมลแล
ใคร่หลบพ้นแสงอ้าว....................อบร้อนแรงตะวัน
.....ยามเย็นเห็นแดดแผ้ว................พรรณราย
แสงอ่อนบรรเจิดพราย....................เพริศแพร้ว
พราวตายิ่งพาหมาย......................มุ่งทัศ นาแล
ห่อนอยากคลาเคลื่อนแคล้ว..............คลาดเบื้องมเลืองสูรย์

.....................

........................

โคลงกลบทสาลินี
“หยาดฝน”


.....ฝนพรำฉ่ำชุ่มพื้น...............สุธาชื่นหทัยชน
ผาสุกเรื้องรุกขผล....................และดอกดาระดาษคลี่
.....โลกปลดกำเดาเปลื้อง...........อุบัติแปล้ประดาปรีดิ์
ชาวนาสวนซิกซี้.....................สราญยิ่งขยันทำ
.....งานเร่งจ้ำให้ทัน.................ฤดูกาลวรุณฉ่ำ
ชนที่ชอบเที่ยวช้ำ....................มนัสแค้นพิรุณโปรย

จาก สาลินีฉันท์ ๑๑ สามารถจัดเรียงวรรคใหม่ ให้เป็น โคลง ๔ สุภาพ ได้ ดังว่า

.....ฝนพรำฉ่ำชุ่มพื้น.................สุธา
ชื่นหทัยชนผา-......................สุกเรื้อง
รุกขผลและดอกดา-.................ระดาษคลี่
โลกปลดกำเดาเปลื้อง................อุบัติแปล้ประดาปรีดิ์
.....ชาวนาสวนซิกซี้................สราญ
ยิ่งขยันทำงาน.......................เร่งจ้ำ
ให้ทันฤดูกาล........................วรุณฉ่ำ
ชนที่ชอบเที่ยว....................ช้ำมนัสแค้นพิรุณโปรย

.....................



......................

ที่มา : ม.ต.ปกิณกนิพนธ์ โดย มนตรี ตราโมท

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

การไหว้ครูและครอบประสิทธิ์ประสาทวิชาดนตรีไทย ของ ครูมนตรี ตราโมท

.....
.....ตั้งจิตอัญชลิตเบื้อง.........บาทบำ บวงเฮย
องค์พระวิศุกรรม...................เทพไท้
ผู้ทรงสฤษฏิ์เครื่องสัม..........ฤทธิ์ทั่ว ถ้วนแล
สอนสั่งปวงมนุษย์ให้...........รอบรู้เริงรำ ร้องแฮ

.....จิตนำโน้มเกศก้ม............ชุลีกร
นบพระปัญจสิขร..................ปกเกล้า
ทรงพิณดีดสุนทร.................กล่อมขับ
แม้พระสรรเพชญ์เจ้า............สดับซร้องทรงชม


.....ประนมหัตถ์มนัสโน้ม.......คำนับ
องค์พระปรคนธรรพ..............ครูเถ้า
สอนสั่งดุริยศัพท์..................สังคีต
ถือว่าประหนึ่งเจ้า.................ใหญ่พ้องคนธรรพ์


ครูมนตรี ตราโมท ผู้ประพันธ์


การไหว้ครูนั้น ไทยเรามักจะปฏิบัติกันทุกอย่างไม่ว่าจะประกอบกิจกรรมกันอย่างไหน คนไทยเรามั่นในความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการีเป็นนิสัย โดยเฉพาะครูบาอาจารย์ไม่ว่าวิชาใดเรามักจะเคารพบูชาระลึกถึงคุณานุคุณ ถ้ามีโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณได้ก็มักจะกระทำเสมอ การกระทำที่เป็นการสนองพระคุณนั้นอาจกระทำได้ต่างๆตามฐานะและโอกาส อาจช่วยเหลือด้วยเงินทอง ช่วยเหลือการงานหรือปฏิบัติ หากครูได้สิ้นชีพไปแล้วก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ หรือเชิดชูเกียรติคุณในสิ่งที่ครูได้กระทำไว้ให้แพร่หลาย เป็นต้น ที่กล่าวมานี้เป็นกตเวทิคุณที่ศิษย์กระทำด้วยความกตัญญูในวิชาทั่วๆไป แต่โดยเฉพาะวิชาที่เป็นศิลปะ การกระทำกตเวทิคุณยังแผ่ออกไปถึงเทพเจ้าที่วิชานั้นถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ด้วย เพราะฉะนั้นศิษย์ที่เรียนวิชาศิลปะจึงยังมีกตเวทิคุณอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า

“ไหว้ครู”

พิธีไหว้ครูนี้ ศิลปะประเภทหนึ่ง ก็มีพิธีการไปอย่างหนึ่ง แตกต่างกันไปตามลักษณะศิลปวิทยาการนั้นๆ

พิธีไหว้ครู


การไหว้ครูของดนตรีไทยนั้นมีหลายอย่าง ถ้าเป็นการประกอบพิธีไหว้ครูที่เป็นพิธีรีตอง มีเครื่องสังเวย มีครูผู้เป็นหัวหน้าอ่านโองการตามแบบแผนจะต้องทำในวันพฤหัสบดีเท่านั้น

เพราะถือว่าพระพฤหัสบดีเป็นครูทั่วทุกวิชา

เนื่องจากไทยเราเป็นพุทธมามกะ พิธีไหว้ครูจึงมักเริ่มด้วยพิธีสงฆ์ก่อน
คือในวันพุธตอนเย็น จะมีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์
รุ่งเช้าวันพฤหัสบดีถวายอาหารบิณฑบาต

เมื่อพระสงฆ์เสร็จภัตกิจแล้วจึงเริ่มพิธีไหว้ครู
สถานที่ประกอบพิธีไหว้ครูควรให้มีที่กว้างพอที่ศิษย์และผู้ร่วมพิธีจะนั่ง
สิ่งที่จะตั้งสำหรับไหว้จะต้องมีที่ตั้งพระพุทธรูปและเครื่องบูชาพร้อมไว้ทางหนึ่ง

ส่วนอีกทางหนึ่งจัดตั้งเครื่องดนตรีไทยต่างๆให้เป็นระเบียบและสวยงาม จะต้องมีตะโพนลูกหนึ่งตั้งอยู่ด้วย เพราะในทางดนตรีไทยถือว่าตะโพนสมมติแทนองค์พระปรคนธรรพ

แต่ถ้าจะมีโขนตั้งด้วยก็ได้ หน้าโขนที่ควรจะตั้งคือ

หน้าฤาษี พระปรคนธรรพ พระวิสสุกรรม พระปัญจสีขร พระพิราพ

แต่ถ้าจะเพิ่มหน้าพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม พระคเณศร์ อีกด้วยก็ยิ่งดี

ส่วนเครื่องบูชากระยาบวช ก็มีดอกไม้ ธูป เทียน หัวหมู เป็ด กุ้ง ปลา บายศรีปากชาม ขนมต้มแดง ต้มขาว ผลไม้ต่างๆ หากว่าในพิธีนั้นไหว้พระพิราพด้วยก็จะต้องมีเครื่องดิบอีกชุดหนึ่ง

อีกอย่างหนึ่งคือ ขันกำนล ซึ่งมีขันล้างหน้าใส่ดอกไม้ธูปเทียน ผ้าขาว หรือผ้าเช็ดหน้า และเงินกำนล ซึ่งโบราณใช้ ๖ บาท

ถ้าจะมีปี่พาทย์บรรเลงเพลงหน้าพาทย์ประกอบด้วยก็ได้

ครูผู้ทำพิธีจะต้องนุ่งขาวห่มขาว เมื่อได้จุดธูปเทียนบูชาเสร็จแล้วครูจะทำน้ำมนต์ ในขณะนั้นศิษย์และผู้ร่วมพิธีจุดธูปเทียนบูชาอธิษฐานตามแต่ประสงค์
แล้วครูผู้ทำพิธีจะเริ่มกล่าวโองการนำให้ผู้ร่วมพิธีว่าตาม ซึ่งเริ่มด้วยบูชาพระรัตนตรัยและไหว้ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ขอพรต่างๆตามแบบแผน ซึ่งแต่ละครูแต่ละอาจารย์อาจผิดแผกแตกต่างกันไปบ้าง

แล้วปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ตามที่ครูผู้กระทำพิธีจะเรียก
ต่อจากนั้นก็กล่าวถวายเครื่องสังเวยแล้วเว้นระยะสักครู่จึงได้กล่าวลาเครื่องสังเวย
ต่อจากนั้นครูผู้เป็นประธานก็จะประพรมน้ำมนต์และเจิมเครื่องดนตรีและหน้าโขนต่างๆจนครบถ้วน
หลังจากนั้นจึงจะประพรมน้ำมนต์และเจิมให้แก่ศิษย์และผู้ร่วมพิธี เป็นอันเสร็จการไหว้ครู


พิธีครอบ


หลังจากพิธีไหว้ครูแล้วจึงจะถึงพิธีครอบซึ่งจะทำติดต่อกันไป
คำว่า “ครอบ”นี้หมายถึง การประสิทธิ์ประสาทวิทยาการหรืออนุมัติให้เริ่มเรียนวิชาในขั้นนั้นๆได้ ในศิลปะดนตรีไทย ถือว่าปี่พาทย์ เป็นหลักสำคัญของดนตรีทั้งหลายจึงครอบด้วยเครื่องดนตรีปี่พาทย์
การครอบของการเรียนปี่พาทย์มีขั้นตอนเป็นลำดับไปเหมือนการเรียนวิชาสามัญ เป็นประถม มัธยม และอุดม
วิธีการครอบ ศิษย์จะนำขันกำนลเข้าไปหาครูผู้ทำพิธี ส่งขันกำนลให้ครูและถือไว้ก่อนจนกว่าครูจะว่าคำประสิทธิ์ประสาทจบจึงปล่อยมือ แล้วครูจะทำพิธีครอบตามขั้นตอนที่จะเรียน โดยจับมือให้ตีฆ้องวงใหญ่และต่อเพลงในขั้นนั้นไปจนจบเพลงและสามารถจะไปปฏิบัติเครื่องดนตรีอย่างอื่นได้ทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นระนาด ปี่ ตะโพน กลอง
ส่วนการครอบเครื่องดนตรีอย่างอื่น เช่น สีซอ ดีดจะเข้ เป่าขลุ่ย เหล่านี้ ตลอดจนการขับร้องด้วย สิ่งใดพอจะจับมือได้ ครูอาจารย์จะจับมือให้สีหรือดีดก็ได้ โดยใช้เพลงประเภทที่เครื่องดนตรีนั้นใช้บรรเลง หรือจะใช้ฉิ่งครอบที่ศีรษะของศิษย์ผู้นั้นก็ได้


ประโยชน์ของการประกอบพิธีไหว้ครูตามประเพณีที่ถูกต้อง
๑.ได้รักษาประเพณีอันเป็นวัฒนธรรมอันดีของไทยไว้ให้ยืนยงต่อไป
๒.ได้แสดงออกซึ่งความกตัญญูกตเวทีอันเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นแบบอย่างส่งเสริมให้ศิษย์รุ่นต่อไป
๓.เป็นการบำรุงขวัญของผู้ที่ได้ร่วมในการพิธีไว้ครูและครอบ
๔.เป็นการเสริมความสามัคคีระหว่างดุริยางคศิลปินด้วยกัน


ข้อมูลจากของ หนังสือ “ดนตรีไทย”แต่งโดย ครูมนตรี ตราโมท

.....อันดวงจิตของครูผู้สอนสั่ง

นั้นมุ่งหวังให้ศิษย์สัมฤทธิ์ผล

ขจัดมืดโมหะในกมล

เพื่อได้ยลแสงสว่างหนทางไกล

มีเมตตากรุณาอุตสาหะ

ไม่เลยละชี้แจงแถลงไข

เห็นศิษย์เขลาเศร้าทรวงด้วยห่วงใย

เห็นศิษย์ไววิทยาปรีดาเอย

ครูมนตรี ตราโมท ผู้ประพันธ์

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ภูมิปัญญาจากวรรณกรรม เรื่อง ลิลิตอิหร่านราชธรรม




ลิลิตอิหร่านราชธรรม
บทกวีนิพนธ์ของครูมนตรี ตราโมท
ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๖ - ๒๔๘๗


ลิลิตอิหร่านราชธรรมเกิดจากความตั้งใจของครูมนตรี ตราโมทที่จะแต่งกวีนิพนธ์เรื่องยาวสักเรื่อง ท่านจึงค้นหาเรื่องเก่าที่จะนำมาแต่งเป็นบทร้อยกรอง และได้เลือกเรื่องนิทานสิบสองเหลี่ยม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีธรรมภาสิต มีคติเตือนใจสอดแทรกอยู่ตลอดเรื่องมาใช้

"เรื่องนิทานสิบสองเหลี่ยมนี้ มีอยู่หลายสำนวน ซึ่งแตกต่างกันด้วยพลความบ้าง ชื่อเมืองและพระนามของกษัตริย์บ้าง มีที่เรียบร้อยดีอยู่ ๒ ฉบับ เรียกว่า อิหร่านราชธรรม คือฉบับที่เขียนขึ้นในสมัยอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๕ ในรัชกาลพระเจ้าบรมโกศ กับฉบับที่เป็นตัวทองลายมืออาลักษณ์ เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ข้าพเจ้าได้เลือกเอาฉบับสมัยอยุธยามาเพื่อจะแต่งเป็นลิลิต...."

ข้อมูลจากคำนำการพิมพ์ครั้งที่ ๑ โดยครูมนตรี ตราโมท

กว่าจะมาเป็น...ลิลิตอิหร่านราชธรรม
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยกรุงศรีอยุธยา

มีขุนนางชาวเปอร์เชียผู้หนึ่ง นามว่า “ขุนกัลยาบดี” ได้แต่งนิทานเรื่องหนึ่งชื่อว่า นิทานสิบสองเหลี่ยม ขึ้น
หลังจากนั้นนิทานเรื่องนี้ก็เริ่มเป็นที่นิยมของคนไทย มีการเล่าสู่กันฟังเสมอมาจนกระทั่งมีการจดบันทึกไว้ ตามยุคสมัยดังนี้

รัชสมัยพระเจ้าบรมโกศ บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๕
ปีพ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้รวบรวมไว้อีกฉบับหนึ่ง
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้จารึก ศาลารอบพระมณฑป วัดพระเชตุพนฯ
หมอสมิทธ์ ได้รวบรวมตีพิมพ์ ไว้อีกฉบับ ในปีพ.ศ. ๒๔๑๓
สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ โปรดให้พิมพ์สมุดไทย และทรงประทานชื่อใหม่ว่า นิทานอิหร่านราชธรรม
ครูมนตรี ตราโมท แต่งเป็นกวีนิพนธ์ ชื่อลิลิตอิหร่านราชธรรม โดยนำเอานิทานสิบสองเหลี่ยมฉบับสมัยอยุธยา รัชกาลพระเจ้าบรมโกศมาใช้ในการแต่ง เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๖

โดยแต่เดิมมาทั้งหมด วรรณกรรมมีลักษณะเป็นร้อยแก้ว และเพิ่งมีในวรรณกรรมของครูมนตรีในครั้งนี้ที่ท่านได้ประพันธ์ไว้ เป็นบทร้อยกรอง ประเภท ลิลิต โดยท่านประพันธ์ขึ้น ระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๖ – ๒๔๘๗ โดยตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารรายเดือน ของวรรณคดีสมาคมแห่งประเทศไทย ชื่อวรรณคดีสาร โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นบรรณาธิการ ตีพิมพ์เป็นตอน จำนวนทั้งสิ้น ๑๒ ตอนติดต่อกัน ต่อมามีการรวบรวมเป็นเล่มในภายหลัง

ขอบพระคุณข้อมูลจาก

http://www.muslimthai.com/main/thai/content.php?category=38&id=190&page=content
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1
http://guru.sanook.com/
http://www.kidsquare.com/
http://kanchanapisek.or.th/ http://www.krungsri.com/KrungsriDocumentlary/



มีอะไร...ใน ลิลิตอิหร่านราชธรรม
สำหรับเนื้อหาวรรณกรรมเรื่องนี้นั้น ประกอบไปด้วย ๓ ส่วนหลัก ด้วยกันคือ


ส่วนแรกบทนำเรื่องหรือปฐมบท

เป็นเรื่องของกษัตริย์องค์หนึ่ง พระนามว่า พระเจ้ามามูลได้ไปพบจารึกของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตอันทรงพระนามว่า พระเจ้าเนวเสนวาระวดิน ซึ่งได้ทรงจารึกหลักธรรมสำหรับผู้ครองแผ่นดินไว้ ในพระมณฑปอันเป็นที่เก็บพระศพของพระองค์ รวมทั้งยังทรงพบนิทานที่แฝงคติธรรมอีก๑๒ เรื่องที่จารึกอยู่โดยรอบผนังพระมณฑปนั้นอีกด้วย เข้า จึงได้ทรงพระดำเนินอ่านดูโดยรอบทั้งหมด ๑๒ ด้าน

ส่วนที่สองเป็นนิทานสิบสองเรื่อง

ที่ปรากฏบนผนังพระมณฑป มีลักษณะเป็นเรื่องย่อย แยกกัน เป็นเรื่องของกษัตริย์ ๑๒ องค์ มีพระนาม ชื่อเมือง ต่างกัน และมีเรื่องราว อันแฝงคติธรรมที่ต่างกันไป

ส่วนที่สาม เป็นบทลงท้าย

กล่าวถึงเมื่อกษัตริย์มามูลได้ทรงอ่านนิทานจนครบแล้วก็ทรงรับสั่งให้อารักษ์จดบันทึกไว้ แล้วเสด็จกลับมายังบ้านเมือง ต่อมาหลังจากนั้นก็ได้ทรงนำเอาหลักธรรมทำสั่งสอนเหล่านั้นมายึดถือปฏิบัติเสมอมา จนต่อมาทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ปกครองบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง และเป็นที่รักของประชาชนสืบมาจนปัจจุบัน และจบบทประพันธ์เรื่องนี้ลงด้วยบทสรรเสริญพระมหากษัตริย์ของไทยโดย ครูมนตรี ตราโมท กล่าวถึงพระมหากษัตริย์ไทยว่าทรงเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม และเป็นเคารพเทิดทูนบูชาของเหล่าพสกนิกร มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากษัตริย์ใน เรื่องอิหร่านราชธรรมนี้เช่นกัน



ได้อะไรจาก...ลิลิตอิหร่านราชธรรม

ได้..ความรู้ด้านหลักธรรมสำหรับพระมหากษัตริย์

หลักธรรมต่างๆที่มีอยู่ในวรรณกรรมสามารถมองเห็นถึงความคล้ายคลึงกับกับหลักธรรมหนึ่งอันเป็นที่รู้จักดีในหมู่คนไทยนั้นคือหลัก ทศพิธราชธรรมอันประกอบด้วย


ทาน ศีล ปริจาค อาชชว มัททว ตป อกฺโกธ อวีหึสา ขันติ อวิโรธน


สำหรับหลักธรรมนี้ ถือได้มีคุณค่าในการเป็นภูมิปัญญาจากวรรณกรรมสำหรับสังคมโดยรวมด้วย เนื่องจากเป็นหลักคติธรรม สอนใจที่สามารถนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิตของคนทั่วไปได้เป็นอย่างดี ไม่จำเพาะสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น เนื่องจากการยึดมั่นในความดี มีศีลธรรม ย่อมก่อให้เกิดผลดีกับผู้ถือปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน

ได้..ความรู้ด้านขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์

ด้วยเนื้อหาวรรณกรรมบอกเล่าเรื่องราวอันเป็นของพระมหากษัตริย์โดยตลอดทั้งเรื่อง แม้จะเป็นเรื่องแต่ง หรือเป็นนิทานก็ตามแต่เพื่อความสมจริง ขนบธรรมเนียมประเพณีอันเกี่ยวข้องกับกษัตริย์และระเบียบปฏิบัติของคนในรั้วในวังก็ถูกนำมาใช้สอดแทรกอยู่ในวรรณกรรมนี้ตลอดทั้งเรื่อง เป็นการสอดแทรกความรู้ในแบบที่กล่าวได้ว่าไม่ได้ตั้งใจนัก หากแต่เป็นไปด้วยวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอรรถรสของวรรณกรรม ให้มีความสนุกสนานและสมจริงเสียมากกว่า

ได้..ตระหนักถึงความงดงามทางภาษาและอัจฉริยภาพทางการประพันธ์

ครูมนตรี ตราโมท ผู้ประพันธ์นั้น นอกจากท่านจะเป็นที่รู้จักในฐานะปูชนียบุคคลทางดนตรีและนาฏศิลปไทยแล้ว ได้รับคัดเลือกเป็น ศิลปินแห่งชาติ สาขาดุริยาคศิลป์แล้ว ท่านยังเป็นผู้มีความสามารถด้านการเขียน การประพันธ์อีกด้วย ซึ่งท่านได้สร้างผลงานมากมายด้านการประพันธ์ เพลง บทร้อง บทละคร บทกวี รวมทั้งหนังสือตำรา บทความทางวิชาการต่างๆไว้มากมาย ในด้านการประพันธ์คำกลอน นั้นท่านชื่นชอบคำประพันธ์ประเภท โคลงสุภาพ และโคลงกลบท มากเป็นพิเศษ ท่านยังเป็นผู้บัญญัติโคลงกลบทใหม่ขึ้น 2 ประเภทด้วย คือ โคลงกลบทฉบัง ซึ่งอ่านเป็นกาพย์ฉบังและสามารถถอดเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพได้ กับ โคลงกลบทสาลินี ซึ่งอ่านเป็นฉันท์สาลินี และสามารถถอดเรียงเป็นโคลงสี่สุภาพได้ และในกวีนิพนธ์ของท่านเรื่องนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของท่านทั้งในด้านการประพันธ์และด้านการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านถ้อยคำอันไพเราะ ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาอันโดดเด่นไว้ให้คนรุ่นหลังได้ซึมซับความรู้และความงดงามของภาษาไทยได้เป็นอย่างดี



ส่วนหนึ่งในความประทับใจ...

ตั้งแต่บทแรก

..."กวีชาญเชิงประพันธ์"...

ร่าย

ศรีศุภสิริสวัสดิ์ มหารัฐไผทไทย ก่องเกียรติไกรวัฒนา
เกรียงเดชานุภาพแผ่ เกริกนามแพร่พร้องขจร อมรรัตนโกสินทร์
มหินทราชธานี อัฐมรัชกาล รัฐบาลประชาธิปัตย์
ทรงสมรรถภาพพูน ป.พิบูลสงคราม สมัญนามประมุขรัฐ
ก่อพิพัฒนผล ประสาทดลราษฎร เทิดกำธรทุกวิถี
วรรณคดีรุ่งเรือง เสมอเบื้องบุพกาล กวีชาญเชิงประพันธ์
เนืองอนันต์เอนกนับ ประดับไทยประเทศด้าว ด้วยบทนิพนธ์น้าว
เหนี่ยวโน้มประโลมใจ ชนนา



บท..."อักษรสารภาษิต"....

โคลง๔

..........วงหนึ่งไทธเรศร์ต้อง...............ตรึกประจำ
มั่นทศพิธราชธรรม................... ........อย่าร้าง
ปราศจากอคตินำ.......... ...................มโนอ่อน เอียงเนอ
ใฝ่กุศลมูลสร้าง.. ...................... .....สืบพื้นเพิ่มบา รมีเทอญ
.........วงสองว่าจักตั้ง........................มนตรี
ตำแหน่งเสนาบดี..............................จุ่งได้
เลือกคัดบุคคลมี..............................สมัตถภาพ
ต่างพระเนตรพระกรรณใช้..ง............ชอบถ้วนควรประสงค์
.........วงสามจงโอบเอื้อ....................อาทร
ผดุงศาสนะบวร................................วิรุจน์เรื้อง
ผดุงสมณะอนุสร.........................,....ธรรมศาสตร์
ศีลมั่นมละบาปเปลื้อง.....................ปลดร้ายราคี
.........วงสี่ว่าจุ่งไว้............................พระกรรณ ก่อนเฮย
ใครเพ็จทูลสารพัน...........................พจน์พร้อง
อย่าด่วนเชื่อจำนรรจ์.......................จงนึก คนึงเนอ
เพ่งพินิจให้ต้อง..............................คติแท้ถึงการณ์ ควรนา



บทสรรเสริญ
..."ประมุขไทยกอบถ้วน...ธรรมสาร"...

โคลง ๔
.......มนตรีตราโมทผู้..................ผูกประพันธ์
อิหร่านราชธรรมสรรค์.................ลิลิตสร้าง
ไว้ตรับประดับปัญ................... .ญาเพ่ิม พูนพ่อ
เป็นนิทัศนะอ้าง...................... ..ออกให้แลเห็น
.....ผู้บำเพ็ญเพียบถ้วน........... ..คุณธรรม
ข้อขอดที่กล่าวคำ................ ...คติพร้อง
เป็นที่เพ่งพินิจจำ................. ....จดจับ จิตแฮ
สูญชีพแต่ชื่อก้อง............... .....เกียรติเรื้องอยู๋นิรันดร์
.....เรื่องทรงธรรม์ธิราชเจ้า...... .เนาวเสน
ศาสนกิจบพิตรเจน...................จบถ้วน
ราชนิติบ่บิดเอน...................... .เอียงอ-คตินา
เรืองพระเดชพระคุณล้วน........เลิศเกื้อเกียรติไกร
.....ประมุขไทยกอบถ้วน...........ธรรมสาร
รัฐกิจยุทธกิจชาญ....................เชี่ยวแท้
ศาสนกิจวรรณการ....................ปกิตโรจน์ เจริญฮา
ราษฎร์รักเกียรติศักดิ์แปล้.........ไป่แพ้อิหร่านนรินทร์

จนบทสุดท้าย
..."จบ อิหร่าน ราช ธรรม"...
จบ........ลิลิตประดิษฐ์ถ้อย.......แถลงสาร
อิหร่าน...ภาคบุพนิทาน.............ครบถ้วน
ราช......นิติประกิตขาน.............
คติแทรก สอดแฮ
ธรรม....พิทักษ์ประจักษ์ล้วน....เหล่าผู้ประพฤติธรรม เที่ยงนา


จากนิทาน สิบสองเหลี่ยมของชาวอาหรับสมัยกรุงศรีอยุธยา มาสู่สิลิตอิหร่านราชธรรม ของครูมนตรี ตราโมท วรรณกรรม กวีนิพนธ์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่บอกเล่าเรื่องราว อันสอดแทรกคติธรรม ที่มีหลักสำคัญโดยสรุปคือการยึดมั่นในความดี ของผู้ที่เป็นหลักสำคัญของคนในวัฒนธรรมนั้น อันได้แก่ผู้ครองแผ่นดิน ผ่านการสร้างสรรค์ไนรูปแบบของวรรณกรรม กวีนิพนธ์ อันไพเราะ ถือเป็นภูมิปัญญาจากวรรณกรรม ที่แสดงถึงความโดดเด่นของวัฒนธรรมไทย ทั้งในด้านความเชื่อ ประเพณี ศิลปะอันเจริญรุ่งเรื่องด้านภาษา อันเป็นเอกลักษณ์ของชนชาติไทยที่สั่งสมมายาวนาน และทรงคุณค่าอย่างยิ่งในการดำรงรักษา ให้คงอยู่สืบไป

ภาพลายเส้นประกอบเรื่อง โดย ญาณี ตราโมท